วันอาทิตย์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2555

วิธีคลายเครียดด้วยการทำสมาธิ (Meditation)



การทำสมาธิอาจมีความหมายที่แตกต่างกันไปตามความเข้าใจของแต่ละบุคคลและยังมีวิธีปฏิบัติที่หลากหลายอีกด้วย แต่การทำสมาธิเพื่อลดความเครียดและช่วยในการผ่อนคลายเป็นวิธีที่เรียกว่า “การกำหนดจิต” (mindful meditation) ซึ่งช่วยให้เราผ่อนคลายได้เร็วขึ้นถ้าฝึกปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ

การกำหนดจิตคืออะไร

การทำสมาธิด้วยวิธีกำหนดจิตคือการนั่งลงโดย “ไม่ทำสิ่งใดเลย” รวมทั้งไม่คิดฟุ้งซ่านด้วย แล้วเพ่งสมาธิให้อยู่กับปัจจุบันเท่านั้น เมื่อปฏิบัติแล้ว เราจะสามารถปล่อยวางความคิดทั้งอดีตและอนาคตได้ หลังจากนั้นเมื่อกำหนดจิตจนชำนาญมากขึ้นเราจะพบว่าเรามีสติอยู่ตลอดเวลาแม้ไม่ได้ทำสมาธิอยู่ก็ตาม การมี “สติ” หมายถึงเราสามารถเพ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งหรือหลายสิ่งที่เกิดขึ้น ณ จุดเวลานั้น

เนื่องจากชีวิตปัจจุบันของคนเราเต็มไปด้วยความยุ่งเหยิง หลายคนทำงานหลายอย่างๆ พร้อมกันในเวลาเดียวกัน เช่น เราอาจจะเดินไปร้านขายของพร้อมกับจดรายชื่อของที่จะซื้อไปพร้อมๆ กับคุยโทรศัพท์ด้วย แต่เมื่อเรามีสติ เราจะทำทีละอย่าง เช่น ขณะกำลังเดินเราก็จะมีสติอยู่กับการเดินเพียงอย่างเดียว เราจะรับรู้ได้ว่าขณะนั้นอากาศที่สัมผัสตัวเราเป็นอย่างไร มันร้อนหรือหนาว มันแห้งหรือชื้น เท้าเรารับรู้สิ่งใดผ่านมาเมื่อย่ำเดินแต่ละก้าว รองเท้าเราส่งแรงมาถึงฝ่าเท้ามากแค่ไหน เท้าเรารู้สึกสบายและมั่นคงไหม นี่คือ “การเดินอย่างมีสติ” ที่ควรจะเป็น

วิธีฝึกฝนการทำสมาธิ

เตรียมตัวให้พร้อม

เลือกเวลาและสถานที่ที่เราสามารถทำสมาธิได้โดยไม่มีสิ่งใดรบกวน พยายามค้นหาสถานที่เงียบสงบแต่ก็ไม่ต้องกังวลหากมีเสียงรบกวนบ้าง เช่น เสียรถแล่นผ่าน ให้คิดเสียว่าเสียงรบกวนเป็นส่วนหนึ่งของปัจจุบัน ณ เวลานั้นด้วย
เมื่อเริ่มต้น พยายามทำสมาธิแค่ 10 นาทีในแต่ละครั้งเท่านั้น หลังจากนั้นจึงค่อยๆ เพิ่มเวลาทีละน้อย ค่อยเป็นค่อยไป เราสามารถทำสมาธิครั้งละ 10 นาทีในตอนเช้าและอีก 10 นาทีในตอนค่ำได้เช่นกัน
ก่อนที่จะนั่งลง ระลึกไว้ว่าเราอยู่ตรงนี้และกำลังเพ่งสมาธิอยู่ที่จุดเวลา ณ ปัจจุบัน วิธีนี้ช่วยให้จิตของเราไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น ถ้ามีกิจวัตรประจำวันที่ต้องทำหรือมีอะไรเข้ามาทำให้วอกแวกให้รอไว้ก่อนจนกว่าจะทำสมาธิเสร็จเรียบร้อย

วิธีปฏิบัติ

นั่งลงในท่าที่สบายบนเก้าอี้หรือบนพื้นก็ได้ หรืออาจจะนอนลงถ้ารู้สึกสบายมากกว่า อาจจะหลับตาหรือมองลงไปที่พื้นบริเวณที่อยู่ด้านหน้าเราไปประมาณ 2-3 นิ้ว
เมื่อนั่งลงแล้ว ให้พิจารณาการหายใจของเรา โดยเพิ่งสมาธิไปยังสิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น อย่าพยายามเปลี่ยนจังหวะการหายใจ เพียงแค่สังเกตว่าเราอยู่สึกอย่างไรที่ปอดและทรวงอกของเราขณะนั้นก็พอ
ถ้าจิตของเรายังฟุ้งซ่านอยู่ อย่ากังวลหรือท้อใจว่าทำไมจึงทำไม่ได้ ลองสังเกตความคิดของตนเองดู เช่น “เราฟุ้งซ่านเพราะต้องไปประชุมตอนสิบโมงเช้า” เมื่อรับรู้ความคิดแล้วก็ให้ปล่อยมันไป แล้วดึงสมาธิกลับมาสู่ปัจจุบัน กลับมาสู่การหายใจของเราเช่นเดิม เราอาจลองทำเช่นนี้หลายๆ ครั้งระหว่างที่ทำสมาธิอยู่ก็ได้ ไม่ต้องฝืนพยายามหยุดคิดทุกครั้ง
ระหว่างทำสมาธิ เราอาจรู้สึกถึงอารมณ์บางอย่าง เช่น โกรธ, ทนไม่ไหว, เศร้า, หรือสุข อย่าพยายามยึดหรือทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไปเพราะสิ่งเหล่านี้คือประสบการณ์หนึ่งในปัจจุบัน ณ เวลานั้นด้วยเช่นกัน พยายามตั้งสมาธิอยู่กับการหายใจจะช่วยให้เรายังคงมีสมาธิอยู่ได้และไม่หลงอยู่ในกระแสความคิดซึ่งอารมณ์ที่เกิดขึ้นเป็นตัวจุดประกายให้เกิดขึ้นมา ตัวอย่างเช่น ถ้าเรารู้สึกว่าทนทำสมาธิจนจบไม่ได้แน่ๆ เราต้องรีบไปซักผ้าแล้ว ลองพิจารณาว่าเราสามารถตั้งสมาธิอยู่ที่ความรู้สึกทนไม่ได้นี้นานกว่าความคิดที่อยากไปซักผ้าหรือไม่ ความรู้สึกทนไม่ได้นี้ส่งผลต่อร่างกายส่วนใดบ้าง เรารู้สึกตึงปวดไหม การหายใจของเราเปลี่ยนแปลงไหม

บทความโดย: ผศ.พญ.วินิทรา นวลละออง
ข้อปฏิบัติ เพื่อสุขภาพจิตที่ดี
ที่ผ่านมา เฮลท์ตี้ทอล์คเน้นถึงสุขภาพกายกันไปพอสมควรแล้ว ในฉบับนี้จะมาแนะนำสมาชิกLAทุกท่านถึงสุขภาพใจกันบ้าง เพราะการจะมีสุขภาพที่ดี ต้องมีสุขภาพจิตที่ดีด้วยเช่นกัน คนที่มีสุขภาพจิตดีคือ คนที่มีลักษณะกิริยาสง่างาม ร่าเริง บ่งบอก ลักษณะภายในว่ามีความสุข มีความเชื่อมั่นในตนเอง น่าเข้าใกล้ น่าเคารพ หากเข้าใกล้ก็จะรู้สึก ถึงกระแสแห่งความ เบิกบาน ใจฉบับนี้จึงจะขอคัดย่อคำสอนจาก พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก แห่งวัดสุนันทวนาราม กาญจนบุรี ถึงข้อปฏิบัติในการ ที่จะ มีสุขภาพจิตที่ดี ดังนี้

1. เจริญอานาปานสติอย่างน้อย 20 นาที
ปกติเราต้องชำระร่างกายด้วยการอาบน้ำวันละ 1-2ครั้ง ถ้าไม่ได้อาบน้ำรู้สึกไม่สบายตัว จิตใจก็เหมือนกัน วันหนี่งกระทบ อารมณ์ที่ไม่พอใจ หดหู่ กลัว เศร้าหมอง ไม่สบายใจ ดังนั้นต้องชำระใจด้วย อานาปานสติ เมตตาภาวนา วันละ1-3ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาทีให้เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ให้ขาด ตั้งใจกำหนดอานาปานสติ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้มีสติและสัมปชัญญะกับลมหายใจ ปล่อยวางอดีต ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆที่ผ่านมา ไม่ต้องคิดถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง แม้แต่ตัวเรา ปล่อยวางความรู้สึก ความนึกคิดต่างๆ จิตของเรามีพลัง คิดอย่างไรก็อย่างนั้น ตั้งใจอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น
2. มีสัมมาวาจา
เมื่อเราสำรวจชีวิตของเราตั้งแต่วัยเด็กจนถึงทุกวันนี้จะเห็นว่า "คำพูด"ของเราหลายๆครั้งที่สร้างปัญหา ทำให้แตกแยก ทำลายมิตรภาพ บางครั้งแม้เจตนาดี แต่คำพูดที่ดีของเราให้ผลออกมาเป็นร้ายก็มี ไม่เจตนาแต่เผลอพูด ไปเพียงไม่กี่คำทำให้ เขาเจ็บใจ ก็มี คำพูดจึงมีอิทธิพลต่อชีวิตของเราอย่างมาก เพราะฉะนั้นเราควรสำรวมระวัง ในคำพูดของตัวเองให้เป็น สัมมาวาจา คือเว้นจากการพูดไม่จริง เว้นจากการพูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พยายามพูดไม่ให้เกิดโทษ ไม่เบียดเบียน ตนเองและผู้อื่นในแต่ละวันให้ทบทวนดูการกระท ำและคำพูดของเราที่ผ่านมา หากผิดพลาดก็ควรแก้ไข พูดดี พูดไพเราะ เป็นปิยวาจา ตั้งใจพูดสัมมาวาจาทุกเช้า ตั้งใจคอยติดตามสำรวจคำพูดของตัวเอง

3. พยายามแก้ไขตนเอง
เมื่อเราสังเกตดูจิตใจ ความคิดของตนเองแล้วจะเห็นว่าจิตใจของเราคิดแต่เรื่องของคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ ว่าเขาดี เขาไม่ดี น่ารัก น่าชัง ฯลฯ คิดเรื่องคนอื่นมากกว่า 90% คิดเรื่องของตนน้อยกว่า 10% อยากจะให้คนอื่นละความชั่วที่ไม่ถูกใจเรา อยากจะให้คนอื่นทำความดีเพื่อให้ถูกใจเรา แต่จิตของเรากลับปล่อยให้ขุ่นมัว เศร้าหมอง เครียด ฟุ้งซ่าน "โทษคนอื่นเห็นเป็นภูเขา โทษของเรา แลไม่เห็นเท่าเส้นผม"
สนใจดูตนเองให้มากขึ้น ดูคนอื่นเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง เห็นตนเองในคนอื่นและเห็นคนอื่นในตนเอง เพราะไม่มาก ก็น้อย เราก็เหมือนๆกับคนอื่นเป็นการเจริญสติสัมปชัญญะ ทำให้มีเมตตา กรุณา ติเตียน ดูถูกคนอื่นน้อยลง ตำหนิติเตียนตน ด้วยสติปัญญา แก้ไขพัฒนาตนมากขึ้น เมื่อพบว่ามีข้อที่คิดว่าน่าแก้ไขให้ตั้งใจทุกวัน พยายามแก้ไขอยู่อย่างนั้น

ที่มา www.la-bicycle.com

จิตตกทำไงดี...มีทางออก!



เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เชื่อว่าหลายๆ คนคงจะเคยมีอาการเครียดๆ เบื่อๆ ไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไร ท้องแท้เบื่อหน่ายชีวิต อาการเหล่านี้คืออาการที่เรียนว่า จิตตก นั้นเองค่ะ อาการนี้จะเกิดขึ้นจากการที่เราผิดหวังหรือว่าผิดพลาดอะไรที่สำคัญในชีวิต อาการเหล่านี้เกิดจากการที่ความรู้สึกแย่ๆ ที่สร้างมันขึ้นมานั้นเอง เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้อาการเหล่านี้อยู่กับเรานานควรจะรีบๆ แก้ไข วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยมีเรื่องน่ารู้ดีๆ เกี่ยวกับเรื่องที่คุณกำลังสงสัยที่ว่า จิตตกทำไงดี มาฝากกันค่ะ สำหรับเกร็ดน่ารู้แก้อาการ จิตตกทำไงดี เป็นอีกหนึ่งความรู้ที่จะช่วยแก้ปัญหาอาการจิตตกได้เป็นอย่างดี ถ้าอย่างนั้นแล้วตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ไปปฏิบัตติตามวิธีแก้อารการจิตตกกันเลยดีกว่านะค่ะ อย่าให้อาการเหล่านี้มามีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันและการทำงานของคุณเลยนะค่ะ อาการแบบนี้ไม่ใช่เรื่องรุนแรงและก็ไม่ยากถ้าจะแก้ไขค่ะ


บางครั้งบางคราวความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นตอนที่เราพลาดหวังกับบางสิ่ง เจอปัญหายืดเยื้อที่แก้ไม่ตก ความเครียดจากการงานและชีวิต หรือแม้แต่ความคิดด้านในของตัวเราเอง ไม่ว่ามันจะเกิดขึ้นเพราะอะไร อย่าให้เวลากับอาการจิตตกแบบนี้อยู่กับเรายืดเยื้อยาวนาน จนบั่นทอนพลังกาย พลังใจพลังชีวิต ได้เวลาปลุกพลังชีวิตฉุดตัวเองขึ้นจากหลุมพรางความรู้สึกยอดแย่ ไปสู่คุณคนใหม่ที่สดใส มีพลังและมั่นใจในตัวเองมากกว่าเดิม

ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการนี้ ขอให้คุณเชื่อก่อนว่ามนุษย์เราทุกคนมีศักยภาพที่มีคุณค่าอยู่ในตัวเอง สามารถฝึกหัดและพัฒนาได้ในเกือบทุกเรื่องรวมทั้งความคิดและมุมมอง แต่อุปสรรคสำคัญก็คือ ความคิดติดยึด ไม่ยอมปรับเปลี่ยน และสุดท้ายเมื่อคุณเริ่มทำสิ่งเหล่านี้แล้ว จงทำมันอย่างต่อเนื่อง เพราะความรู้สึกแย่ๆ มันเกิดขึ้น จากไปและย้อนวนกลับมาใหม่ได้เสมอ

จิตตกทำไงดี?

1. จับจุดรู้ตัว

เมื่อไหร่ที่เริ่มรู้สึกจิตตกความท้อแท้ห่อเหี่ยวกำลังเข้าครอบงำอย่าปล่อยใจให้ไหลไปตามความรู้สึกกระตุกตัวเองให้รู้ตัวว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองอยู่ จะด้วยการบอกในใจหรือพูดออกมาให้ตัวเองได้ยินก็ได้... ฉันกำลังเศร้า หงุดหงิด โกรธ หยุดคิด ฯลฯ... แล้วสรรหาคำเรียกสติและพลังมาบอกกับตัวเอง เพื่อหยุดความรู้สึกนั้นไม่ให้ลุกลาม หรืออาจใช้วิธีการหายใจเข้าช่วย สูดลมหายใจเข้าลึกๆ นับ 1 ถึง 4 เป็นจังหวะช้าๆ 1, 2, 3,4 กลั้นหายใจไว้สักครู่ นับ 1 ถึง 4 เป็นจังหวะเดียวกับเมื่อหายใจเข้า แล้วค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออก นับ 1 ถึง 8 อย่างช้าๆ 1..2..3..4..5..6..7..8.. ระหว่างผ่อนลมหายใจให้รู้สึกว่า เรากำลังใช้ลมหายใจผลักดันความเครียดความรู้สึกแย่ๆ ออกไปจากตัว ทั้ง 2 วิธีนี้คือการเบนความสนใจของคุณออกจากความรู้สึกด้านลบ

2. ปลุกพลังให้ตัวเอง

เริ่มต้นจากการกระทำลองเปลี่ยนการเคลื่อนไหวร่างกายประจำวัน จงนั่ง ยืน เดินอย่างผึ่งผายกระฉับกระเฉง ตื่นตัวและมั่นใจ ไม่ใช่ไหล่ห่อ คอตก หลังโก่ง ภาษากายเป็นด่านแรกของการเรียกความกระฉับเฉง ที่สำคัญ อย่าลืมยิ้มแย้มแจ่มใส

ต่อมาคือหมั่นพูดบวกให้กับตัวเอง เรียกชื่อตัวเอง และชื่นชมตัวเองด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สดใสมีพลัง เพื่อเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาในตัวเองกลับคืนมา "ฉันทำได้ ฉันเก่ง ฉันมีดี... ฯลฯ" เลิกคิด เลิกโทษ หรือบอกว่าตัวเองแย่ ทำไม่ได้ ไม่ได้เรื่อง ฯลฯ เพราะถ้าคุณคิดอย่างไรมันก็จะเป็นอย่างนั้น We are what we think as we think so we become

3. มองมุมบวกสร้างอารมณ์บวก

ความคิดมีอิทธิพลกับอารมณ์และความรู้สึก และอารมณ์ความรู้สึกก็มีผลกับการกระทำ ลองถ้าเรามูดดี้ซะแล้วจะทำอะไร คิดอะไรก็คงทำได้ไม่ดีนัก เผลอๆ จะพาลไม่อยากทำเอาซะด้วย ในทางตรงกันข้าม ความคิดที่ดีๆ มีพลังดึงดูดสิ่งดีๆ เข้ามาหาเรา ถ้าเริ่มต้นเช้าด้วยอารมณ์หงุดหงิดที่รถดันสตาร์ทไม่ติด ระหว่างเดินทางไปทำงาน ก็อารมณ์เสียกับรถติด หน้าตาบูดบึ้งเดินเข้าออฟฟิศด้วยความคิดที่ว่าวันนี้ทำไมซวยจริงๆ และสารพัดคำบ่นระบาย เพื่อนร่วมงานคนไหนจะอยากเข้ามาพูดคุยด้วย และวันนั้นทั้งวันคุณจะทำงานอย่างมีความสุขงั้นหรือ

4. มองและชื่นชมในสิ่งที่มี

สิ่งดีๆ มีอยู่รอบตัวมากมาย ถ้าเรามองหาเราก็จะมองเห็น เริ่มต้นด้วยขอบคุณจากสิ่งใกล้ตัว ขอบคุณร่างกายที่ยังแข็งแรงสมบูรณ์ ขอบคุณที่เรามีสติปัญญาที่ดี มีงานดีๆ ทำ ขอบคุณที่มีเพื่อนที่ดี ฯลฯ ถ้าเราทำแบบนี้บ่อย ๆ จะพบว่าเรามีสิ่งดีๆ ในชีวิตมากมาย เราจะรู้สึกได้ถึงความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์จากภายใน และเห็นคุณค่าของสิ่งที่เรามี ผู้คนรอบข้าง รวมถึงเห็นคุณค่าในตัวเอง ช่วยเพิ่มความมั่นใจว่าเราเองก็มีคุณค่า มีความพร้อมและมีสิ่งดีๆ ในชีวิต มองชีวิตอย่างมีความสุขขึ้น

5. ทบทวนตัวเอง

ใช้ช่วงเวลาผ่อนคลายสำรวจตัวเอง ว่าเรามีเป้าหมาย มีความฝัน มีความปรารถนาอะไรในชีวิต จินตนาการให้เห็นถึงบรรยากาศเหมือนกับว่าความปรารถนานั้นกำลังเกิดขึ้นตอนนี้ มีความสุขและอิ่มเอมกับมัน จากนั้นก็กลับสู่โลกความเป็นจริง ทบทวนดูว่าตอนนี้เราได้ทำความปรารถนานั้นไปถึงไหนแล้ว

ขณะเดียวกันก็สำรวจตัวเองว่า มีจุดดี จุดด้อย จุดเด่น อะไรบ้าง จะปรับจุดด้อยให้ดีขึ้นได้อย่างไร และใช้จุดเด่นนั้นอย่างไร เพื่อให้บรรยากาศที่เราเพิ่งจินตนาการเกิดขึ้นจริงๆ เขียนสิ่งเหล่านั้นออกมา วิธีนี้คือการทบทวนชีวิตตัวเอง และเตือนสติให้เราดำเนินชีวิต แต่ละวันไปอย่างมีเป้าหมายและมีความหวัง แต่เป้าหมายหรือความปรารถนานั้นควรอยู่บนพื้นฐานของความจริง ไม่ไกลเกินเอื้อม

6. ลงมือ+จดจ่อ

เมื่อคิดที่จะทำอะไรจงลงมือทำ อย่าได้แต่คิดหรือพูดเท่านั้น อย่ากลัวที่จะเริ่มต้น อย่ากลัวผิดพลาด เพราะถ้าไม่เริ่มต้นก็จะไม่มีวันรู้ว่าทำได้หรือเปล่า ทำได้ดีแค่ไหน และมันเหมาะกับตัวเองหรือเปล่า แต่ถ้าคุณเริ่มทำ สิ่งที่จะเกิดขึ้นมีทั้งความสำเร็จ ความผิดพลาด ซึ่งมันอาจเป็นประสบการณ์ที่ดีก็ได้

อย่าปล่อยให้ตัวเองอยู่กับความไม่รู้ อย่างน้อยถ้าผิดพลาดคุณก็ยังพอรู้ว่า ถ้าจะไม่ให้มันผิดพลาดเช่นนี้ควรทำยังไง หรือบอกได้อย่างมั่นใจว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะกับเรา และเมื่อตัดสินใจทำแล้วจงทำอย่างตั้งใจ รวมพลังความคิดและสมาธิอยู่กับสิ่งที่กำลังทำ ไม่ห่วงหน้าพะวงหลังกับอดีตที่ผิดพลาดไปแล้ว และอนาคตที่มันยังมาไม่ถึง แล้วผลที่เกิดขึ้นจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว

7. ฉลองความสำเร็จให้ตัวเอง

สังเกตสิค่ะ เวลาที่นักฟุตบอลทำประตูได้เขามีสารพัดท่าทางให้เราได้เห็น นั่นเป็นวิธีฉลองความสำเร็จให้กับตัวเองแบบง่ายๆ ซึ่งควรทำอย่างสม่ำเสมอกับทุก ๆ ความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องเล็กน้อยแค่ไหนก็ตามพร้อมกับบอกตัวเองว่า "ฉันทำได้" ส่วนจะใช้ท่าฉลองอย่างไรนั้นอยู่ที่ความชอบส่วนตัวค่ะ แต่ที่ง่ายที่สุดก็กำหมัดกระชากข้อศอกเข้าหาตัวพร้อมกับพูดว่า YES ! อย่างที่เคยเห็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจทำ

"ผมร่วงผิดปกติ" และ "วิธีแก้อาการผมร่วง"



เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) เชื่อได้เลยค่ะว่า คงจะมีสาวๆ หลายๆ คนที่เคยเจอปัญหาผมร่วงผิดปกติกันมาบ้าง แต่จะมีสักกี่คนที่รู้วิธีแก้อาการผมร่วงอย่างถูกวิธีหล่ะจริงมั้ยค่ะ เพราะฉะนั้นวันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยมี วิธีแก้อาการผมร่วง มาฝากคุณผู้หญิงหรือใครๆ ที่กำลังพบเจอกับปัญหาผมร่วงผิดปกติให้ได้รู้กันค่ะ จะได้รู้กับวิธีแก้อาการผมร่วงอย่างถูกต้องถูกวิธีกันนั้นเป็นเช่นไรค่ะ แล้วนับจากนี้ไปปัญหาผมร่วงผิดปกติที่ทำร้ายความเชื่อมั่นของสาวๆ หลายๆ ท่าน จะไม่เกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างแน่นอน ถ้าพร้อมแล้วไปดูวิธีแก้อาการผมร่วงไปพร้อมกับเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) กันเลยดีกว่าค่ะ แล้วครั้งหน้าเมื่อเกิดอากาผมร่วงผิดปกติก็จะได้มีวิธีแก้อาการผมร่วงมาเป็นตัวช่วยได้ทันถ่วงถี่กันเลยหล่ะทีนี้ หายจากความกังวลเรื่องเส้นผมกันก็ครานี้

ผมร่วงผิดปกติ

ผู้ที่มีเส้นผมร่วงมากจนผิดปกติ เกิดจากปัจจัยมากมาย ดังนี้

1. ผมร่วงชนิดชั่วคราว

สาเหตุ เช่น มีความเครียดเป็นเวลานานๆ มักมีอาการผมร่วงตามมาแบบไม่รู้ตัว สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัยหรืออาจเกิดจากอาการป่วยหรือเป็นโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน หรือ เกิดในเพศหญิงที่เพิ่งคลอดบุตรและในผู้ที่นิยมทานยาคุมกำเนิด เป็นต้น
การรักษา อาการผมร่วงชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องรับการรักษาเพราะสามารถหายได้เอง

2. ผมร่วงจากกรรมพันธุ์

เกิดจากสาเหตุทางพันธุกรรมและระดับฮอร์โมนเทสโทสเทอร์โรนในร่างกายสามารถพบได้ทั้งในชายและหญิง แต่จะพบในชายมากกว่า
การรักษา สามารถแก้ได้ยากมากแม้ว่านักวิทยาศาสตร์จะพยายามคิดค้นยาใหม่ๆ แต่พบว่า ไม่ได้ผล แพทย์ผิวหนังจึงนิยมจ่ายยาเพื่อลดปริมาณของฮอร์โมนชนิดดังกล่าวในร่างกายหรือจ่ายยาลดความดันโลหิต ซึ่งมีอาการข้างเคียง คือ การงอกของเส้นผมจะเป็นเพียงเส้นขนอ่อนและบางเท่านั้น หรือแม้แต่ยาในกลุ่มสเตรียรอยด์ที่แพทย์บางคนนิยมจ่ายก็ได้ผลยากมาก แต่ที่แน่ๆ คือ จะได้รับอันตรายจากยาอันตรายเท่านี้แทน


วิธีแก้อาการผมร่วง

1. สารสำคัญในการกระตุ้นให้มีการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงรากผม เพื่อป้องกันผมร่วง เช่น วิตามินชนิดต่างๆ และสารสกัดจากสมุนไพร

2. สารอาหารในกลุ่มโปรตีน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงให้รากผมและเส้นผม

3. สารสำคัญ ที่มีประสิทธิภาพลดและควบคุมปริมาณไขมันของหนังศรีษะและลดอาการอักเสบของต่อมไขมัน

4. สารสำคัญในการควบคุมการเจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์บนหนังศรีษะ


ข้อควรสังเกต

หากยาและผลิตภัณฑ์ป้องกันผมร่วงมีประสิทธิภาพสามารถแก้ผมร่วงได้จริงเราคงไม่เห็นคนหัวเถิกหรือหัวล้านในทุกประเทศทั่วโลก เพราะสาเหตุจากกรรมพันธุ์เป็นเรื่องที่ต้องยอมรับความเป็นจริง ดังนั้น อาจสามารถแก้ไขปัญหาโดยการใส่วิกหรือถักผมลงบนศรีษะ ซึ่งจะปลอดภัยกว่าการพยายามหายาวิเศษที่เป็นอันตรายแต่ไร้ความหวังมาเป็นที่พึ่ง

ขอขอบคุณข้อมูลวิธีดูแลเส้นผมจาก มติชนออนไลน์ ขอขอบคุณรูปภาพจากอินเตอร์เน็ต

สรรพคุณ และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน



ถ้าเอ่ยถึงเห็ดหลายๆ คนจะนึกถึงเห็ดอะไรบ้างค่ะ เห็ดมีหลายชื่อหลายชนิด ทั้งที่กินได้ แล้วก็กินไม่ได้ เชื่อว่าทุกๆ คนต้องเคยกินเห็ดแน่นอน ไม่ว่าจะเป็น เห็ดหูหนู เห็ดเข็มทอง และอีกมากมายหลายชนิดและเห็ดก็จัดเป็นผักอีกหนึ่งประเภทที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของเราเช่นกัน แต่เห็ดที่เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) จะพูดถึงในวันนี้เชื่อว่าหลายๆ คนไม่ค่อยจะรู้จักกันสักเท่าไหร่ค่ะ เห็ดชนิดนี้มีชื่อว่า เห็นกระถินพิมาน ได้ยินมาว่าเห็ดชนิดนี้มีประโยชน์อย่างมาก เชื่อหรือไม่ค่ะว่า สรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นั่นสามารถยับยั่งเซล์ลมะเร็งได้ ไม่นานเชื่อใช่มั้ยหล่ะค่ะ วันนี้เอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) ก็เลยมีข้อมูลของ สรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นี้มาฝากกันนะค่ะ ข้อมูลที่แท้จริงของ สรรพคุณของเห็ดกระถินพิมาน และ ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน นี้จะเป็นอย่างไร แล้วช่วยยับยั้งเซล์ลมะเร็งได้จริงหรือไม่ งั้นตามเอ็นทรีเคดอทไอเอ็นดอททีเอช (N3K.IN.TH) มาดูข้อมูลด้านล่างนี้พร้อมกันเลยนะค่ะ


สรรพคุณ / ประโยชน์ของเห็ดกระถินพิมาน

"เห็ดกระถินพิมาน" (Phellinus igniarius) หรือที่ชาวบ้านในภาคเหนือเรียกว่า คะยา หรือ หนามขาว ชาวสุโขทัย เรียกว่า กระถินป่า หรือ กระถินวิมาน ชาวภาคกลางเรียก กระถินหางกระรอก หรือ กระถินพิมาน นั้น มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Fomes rimosus (Berk.) Cooke. เป็นเห็ดในตระกูล olyporaceae เป็นไม้ยืนต้นขนาดย่อม สูงประมาณ 8-10 เมตร มักขึ้นตามป่าละเมาะ หรือป่าเบญจพรรณที่แห้งแล้ง อย่างในประเทศไทยก็พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ลักษณะทั่วไปของ "เห็ดกระถินพิมาน" จะมีลำต้นเป็นสีน้ำตาล มีหนามใบเล็กละเอียดออกตามก้านใบสลับตรงกันข้าม ใบของ "เห็ดกระถินพิมาน" จะเป็นใบประกอบแบบขนนก ออกดอกเป็นพู่สีขาวอมม่วง ปลายเป็นขนสีเหลืองส่งกลิ่นหอม ฝักแบนโค้งสีน้ำตาล ส่วนดอกเห็ดจะมีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อไม้ ไม่มีก้าน และเจริญออกมาจากลำต้นไม้ในลักษณะเป็นก้อนครึ่งวงกลม

ทั้งนี้ ตามตำรับยาสมุนไพร ระบุไว้ว่า ส่วน "ราก" และ "ต้น" ของ "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถนำไปใช้ทำยาได้หลากหลายอาการ คือ ส่วนราก ซึ่งมีรสฝาดเฝื่อน สามารถนำไปแก้พิษสัตว์กัดต่อย แก้พิษงูได้ ขณะที่ลำต้น จะใช้ "เห็ด" ซึ่งมีรสเมาเบื่อ ไปแก้ไข้พิษ ไข้กาฬ ถ้านำเห็ดไปฝนกับน้ำปูนใสหรือเหล้าแล้วนำไปหยอดหู จะแก้ปวดหู แก้พิษฝีในหูได้ นอกจากนั้น ยังสามารถนำมาทาบาดแผลที่เน่าเปื่อย น้ำเหลืองเสีย สามารถแก้เริม แก้งูสวัดได้อีกด้วย

ส่วนที่มีเสียงร่ำลือว่า "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถรักษาโรคมะเร็งได้นั้น ดร.อานนท์ เอื้อตระกูล ผู้อำนวยการสถาบันไบโอเทคและเห็ด มหาวิทยาลัยนอร์ท-เชียงใหม่ และผู้อำนวยสถาบันอานนท์ไบโอเทค ผู้เชี่ยวชาญเห็ด องค์การค้าโลกแห่งสหประชาชาติ ปี พ.ศ.2524-2548 ซึ่งเคยประสบความสำเร็จในการเพาะ "เห็ดกระถินพิมาน" มาแล้ว ให้ข้อมูลว่า เห็ดดังกล่าวมีสรรพคุณในการยับยั้งเซลล์มะเร็งจริง เพราะมีสารโพลีแซคคาไลน์ สารไตรโตรปินอย สารเนเชอรัลสเตอรอยด์ ที่เข้าไปช่วยยับยั้งการโตของเซลล์มะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งปอด

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่ากิน "เห็ดกระถินพิมาน" แล้วจะสามารถรักษาโรคมะเร็งได้เลย เพราะต้องนำเห็ดมาผ่านกรรมวิธีการหมักด้วยจุลินทรีย์ก่อน เพื่อให้ได้ผลดี รวมทั้งยังต้องควบคุมการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย การใช้ "เห็ดกระถินพิมาน" รักษามะเร็งจึงจะสัมฤทธิ์ผล และนอกจากโรคมะเร็งแล้ว งานวิจัยก็ยังพบว่า "เห็ดกระถินพิมาน" สามารถรักษาโรคเบาหวาน สร้างเม็ดเลือด แผลพุพอง ภูมิแพ้ ไข้หวัดใหญ่ ผื่นคัน ไขข้ออักเสบ ได้เช่นกัน

ดร.อานนท์ ยังบอกด้วยว่า ในอดีต ประเทศไทยพบ "เห็ดกระถินพิมาน" ในจังหวัดสกลนคร และแถบอำเภอภูเรือ จังหวัดเลย แต่ชาวบ้านไม่รู้ว่านี่คือเห็ด นึกว่าเป็นไม้แห้ง จึงไม่ได้สนใจ และนำไปทำฟืนแทน ก่อนที่ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในเมืองไทยจะไปพบเข้า จึงนำเห็ดดังกล่าวไปสกัดเป็นยาในต่างประเทศ แล้วส่งกลับมาขายในประเทศไทย จึงถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก เพราะเห็ดชนิดนี้ในต่างประเทศซื้อขายกันในราคาสูงถึงกิโลกรัมละ 3 ล้านบาทเลยทีเดียว

12 ข้อ การใช้ยาอย่างถูกวิธี



การกินยาไม่ใช่เรื่องใหญ่แต่การใช้ยาอย่างถูกวิธีเป็นเรื่องที่ดีและสำคัญมาก หากว่าคุณกินยาผิดหรือกินยาไม่ ถูกวิธีอาจเกิดผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น ยาก่อนอาหารแต่กินหลังอาหาร หรือ ยาหลังอาหารแต่กินก่อนอาหาร หรือแม้แต่กินยาเกินขนาด สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่มีผลข้างเคียงด้วยกันทั้งนั้นดีไม่ดีอาจจะถึงแก่ชีวิต ฉะนั้นเรามาเรียนรู้ การใช้ยาอย่างถูกวิธี กันเถอะค่ะ

การใช้ยาอย่างถูกวิธี

1.ก่อนการสั่งยาจากแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง คุณควรแจ้งประวัติในการแพ้ยาและโรคประจำตัวอย่างละเอียด โดยเฉพาะคนที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับ ไต เนื่องจากเป็นอวัยวะที่เกี่ยวกับการกำจัดและขับของเสียออกจากร่างกาย และควรสอบถามชื่อยาทางการค้าและชื่อยาสามัญจากแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง

2.ยาที่คุณต้องใช้บ่อย ๆ ควรศึกษาเกี่ยวกับขนาดที่ใช้และอาการข้างเคียงด้วยโดยอาจสอบถามจากแพทย์หรือเภสัชกร

3.ควรกินยาหรือใช้ยาตามที่กำหนด เพราะยาบางอย่างมีวิธีใช้เฉพาะเพื่อให้ยาออกฤทธิ์ดีและมีสรรพคุณตามต้องการ เช่น ยาผงแห้ง ยาแก้อักเสบสำหรับเด็ก หากนำไปผสมกับน้ำร้อนจะทำให้เสื่อมสภาพได้

4.เมื่ออาการดีขึ้นหรือกลับเป็นหนักกว่าเก่า คุณไม่ควรเพิ่มหรือลดขนาดยาเองเพราะยาบางชนิดหากมีการเพิ่มยาแม้เพียงเล็กน้อย ก็อาจทำให้เกิดผลเสียที่รุนแรง เช่น ยาโรคหัวใจ ยาขยายหลอดลม เป็นต้น

5.ไม่ควรใช้ยาร่วมกัน เพราะยาที่แพทย์หรือเภสัชกรจ่ายให้นั้นจะต้องมีการพิจารณาแล้วว่า เหมาะกับโรคหรืออาการของผู้ป่วยแต่ละรายยกเว้นยาสามัญประจำบ้านที่สามารถใช้ร่วมกันได้

6.หากต้องการใช้ยาเพิ่มจากที่เคยใช้อยู่คุณควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรทุกครั้ง เพราะการใช้ยามากชนิดหรือเกินขนาดอาจเกิดผลข้างเคียงหรือเพิ่มพิษของยาได้

7.ยาที่ใช้รักษาโรคเรื้อรัง และต้องกินติดต่อกันควรมีติดตัวไว้ตลอดโดยเฉพาะเวลาเดินทาง เพราะยาบางชนิดถ้าหยุดอย่างกะทันหันอาจทำให้อาการกำเริบเป็นอันตรายได้

8.ควรอ่านฉลากยาทุกครั้งก่อนการใช้ยา และไม่ควรอ่านฉลาดยาในที่มืดเพราะอาจทำให้เกิดความคลาดเคลื่อนและกินยาผิดพลาดได้

9.ไม่ควรกินยาร่วมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น เหล้า เบียร์ เพราะอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

10.ไม่ควรกินยาร่วมกับชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ เพราะจะทำให้ยามีผลการรักษาลดลง

11.ไม่ควรดื่มนมร่วมกับยาระบาย เพราะอาจจะทำให้มีอาการคลื่นไส้อาเจียนและท้องเสียได้

12.หากกินยาแล้วมีอาการ ไข้ ผื่นแดงคัน ลมพิษ บวมเนื้อเยื่ออ่อน บวมแดง แสบ อาเจียน หอบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง ปวดหัวรุนแรง ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจเกิดจากการแพ้ยาและนำยาที่มีอาการแพ้ไปแสดงให้แพทย์ทราบเพื่อการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็ว

การใช้ยาถูกวิธีถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะถ้าหากมองข้ามอาจเป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลร้ายแรงถึงชีวิตได้ ฉะนั้นศึกษา 12 ข้อที่เราแนะนำนี้แล้วนำไปใช้ จะได้สุขภาพดีและปลอดภัยจากการใช้ยากันนะคะ

การให้บริการตรวจรักษา


คลินิก หู คอ จมูก ให้บริการตรวจรักษาโรคต่าง ๆ ดังนี้
บริการด้าน การตรวจวินิจฉัยโรค รักษาโรค หู คอ จมูก
ตรวจและรักษาโรคของหูชั้นนอกและหูชั้นกลาง ด้วยการใช้กล้องส่องตรวจ
ผู้ป่วยสามารถมองเห็นภายในหูของตนเองได้ ผ่านจอมอนิเตอร์
ตรวจรักษาโรคบริเวณจมูกและไซนัส ด้วยกล้องส่องและแสดงภาพทางจอมอนิเตอร์
ตรวจลำคอและกล่องเสียง ด้วยกล้องที่ทันสมัย สามารถมองเห็นพยาธิสภาพที่แท้จริง
ตรวจรักษาโรคเวียนศรีษะ
ตรวจการได้ยิน โดยนักตรวจการได้ยิน รวมทั้งสามารถให้คำแนะนำการใช้และการปรับแต่งเครื่องช่วยการได้ยินแก่ผู้ป่วย

โรคหู คอ จมูก หมายถึงอะไร?
โรคหู คอ จมูก หมายถึง โรคที่เกิดขึ้นกับอวัยวะข้างต้นด้วย อาทิ ระบบประสาทการทรงตัว,ระบบประสาทที่ควบคุมกล้ามเนื้อของใบหน้าหลอดอาหาร,หลอดลม,โพรงไซนัส,ผิวหนัง,กล้ามเนื้อ,กระดูกของใบหน้าและลำคอ รวมทั้งปาก และขากรรไกร
ท่านมีอาการอะไร?จึงควรไปพบแพทย์ หู คอ จมูก

อาการดังต่อไปนี้แสดงว่าท่านอาจมีโรคทางหูอ คอ จมูก อาทิ มีก้อนหรือแผลบริเวณใบหู ปวดหู คันหู มีน้ำหนวกไหล หูอื้อ มีเสียงหึ่ง ๆ ดังในหู เวียนศรีษะ หน้าเบี้ยวเนื่องจากกล้ามเนื้อไม่ทำงาน แสดงว่าท่านมีโรคของหู หรือระบบที่เกี่ยวข้องกับหู
ถ้าท่านมีก้อนที่คอ ในช่องปาก ใบหน้า ไม่ว่าส่วนใด ๆ ก็ตาม หรือมีอาการเสียงแหบ เจ็บคอระคายคอ จุกแน่นในลำคอ กลืนอาหารลำบาก ท่านควรได้รับการตรวจเช็คกับแพทย์หู คอ จมูก หรือถ้ามีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย ๆ มีอาการปวดศรีษะหรือใบหน้า ท่านอาจจะมีโรคของระบบจมูก ทางเดินหายใจ หรือโพรงไซนัส


อาการต่าง ๆ ที่ท่านคิดว่าไม่สำคัญอาจจะเป็นอาการเริ่มแรกของโรคร้ายแรงในบริเวณ หู คอ จมูก อาการเหล่านี้ ได้แก่
โรคหูน้ำหนวก
อาจเกิดจาาการชอบปั่นหู แคะหูทุกวัน ขี้หูมักออกมาได้เอง ดังนั้นอย่าปั่นหู แคะหูทุกวันจนติดเป็นนิสัย ปั่นหูเล่นบ่อย ๆ ทำให้เป็นเชื้อรา ทำให้คันสุดท้ายรูหู ใบหู อาจอักเสบอย่างรุนแรง

โรคหูน้ำหนวกจากแก้วหูทะลุ
อาการ น้ำหนวกไหล ๆ หยุด ๆ และหูตึง รักษาโดยใช้ยาหยอดหู เมื่อมีน้ำไหล (ไม่ควรใช้ยาผง) การป้องกัน อย่าให้น้ำเข้าหู ไม่ควรปั่นหู ล้างหูอย่าปล่อยให้เป็นหวัดเรื้อรัง หูน้ำหนวกในผู้ใหญ่ มักเป็นมาตั้งแต่เด็กอย่าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา
ปวดหู

อาการปวดหูที่เป็นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าไม่มีอาการของช่องหูอักเสบ หรืออาการของหวัดอาจจะเกิดจากมะเร็งในบริเวณลำคอ ช่องปาก หรือหู

เลือดออก

อาการเลือดออกทางจมูก หรือ ปาก ไม่ว่าจะออกมาเป็นจำนวนมากหรือน้อย อาจจะเกิดจากมะเร็งในบริเวณช่องจมูก หรือลำคอ

เจ็บคอ

ถ้าเป็นอยู่นานกว่า 2 สัปดาห์ และไม่มีอาการไข้ร่วมด้วย อาจจะเกิดจากมะเร็งในบริเวณลำคอ หรือช่องปาก

ท่านเป็นโรคหูหรือเปล่า
โรคหูมีอาการสำคัญ 5 ประการ
ปวดหนักใบหู
ในหูมีน้ำ
ฟังคำไม่รู้
ในหูมีเสียง
เอี้ยวเอียงเวียนหัว
ถ้ามีอาการอย่างเดียว สงสัยว่าเป็นโรคหู
ถ้ามีอาการ 2 อย่าง ท่านเป็นโรคหู
ถ้ามีอาการ 3 อย่าง ควรปรึกษาแพทย์
ถ้ามีอาการ 4 อย่าง รีบพบแพทย์ หู คอ จมูก
ถ้ามีอาการ 5 อย่าง ต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล
เครื่องตรวจการได้ยิน
ถ้าท่านมีอาการหูดังต่อไปนี้ หูอื้อ หูหนวก หูตึง หูอักเสบ มีน้ำในหู มีเสียงดังในหู และเวียนศรีษะบ้านหมุน เรามีเครื่องตรวจการได้ยินที่ทันสมัย สะดวกตรวจง่าย ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องนอนพักในโรงพยาบาลสิ้นเปลืองน้อย ทราบผลเร็ว และแม่นยำ

"โปรดจำไว้เสมอว่า การรักษาโรคของหู คอ จมูกให้หายขาด ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์"